วันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2560

เคล็ดลับ `สร้างสุขครอบครัวไทย`

ความรักความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นสิ่งละเอียดอ่อนที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะหากคนในครอบครัวมีความสัมพันธ์กันมากพอ ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่จะจับมือกันก้าวผ่านปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชีวิตคู่ ปัญหาการเรียน ปัญหาเรื่องเพื่อน ปัญหาที่ทำงาน เป็นต้น
ซึ่ง ‘วัยเด็ก’ เป็นรากฐานที่สำคัญของการเจริญเติบโตสู่ช่วงวัยต่างๆ ที่พ่อแม่และผู้ปกครองควรปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดี และเป็นแบบอย่างของพฤติกรรมที่เหมาะสม รวมถึงเป็นต้นแบบของการใช้ชีวิตให้ลูก เพื่อเป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ต้นนี้ให้แตกหน่อและเติบโตอย่างงดงาม
แต่เพียงการอบรม สอนสั่ง และปลูกฝังอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ด้วยช่องว่างระหว่างวัยและโลกทัศน์ที่เปลี่ยนไประหว่างวัยพ่อแม่และลูกหลาน ซึ่งต้องการความเข้าใจ การปรับตัว และความประนีประนอมในการดูแลซึ่งกันและกัน ทีมเว็บไซต์ สสส. จึงรวบรวมเคล็ดลับเติมเต็มความสุขของครอบครัวมานำเสนอเป็นตัวอย่างแนวทางให้ครอบครัวไทยนำไปปรับใช้ในยุค 4 จี หรือ ยุค 4.0 เพื่อเป็นการเติมเต็มความรักและความเข้าใจและกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวค่ะ
“4 ย. เคล็ดลับเติมรักให้ครอบครัว” จากคู่มือ 4 ย.เคล็ดลับเติมความสุขชีวิตคู่ โดยสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้แนะนำไว้ว่า
ย.ยืดหยุ่น : รู้จักอดทนอดกลั้น รู้จักให้และรับที่เหมาะสม เรียนรู้ที่จะพบกันครึ่งทาง เพื่อความสัมพันธ์ที่สมดุลและแนบแน่น ดังคำกล่าวที่ว่า ‘บ้านเปี่ยมรัก…สร้างจากความรักและความเข้าใจ’
ย.ยกย่อง : หมั่นใช้คำพูดที่อ่อนหวานไพเราะ ห่วงใย ให้กำลังใจซึ่งออกมาจากใจบนพื้นฐานของสติปัญญาและความรัก เป็นพลังเสริมสร้างแรงบันดาลใจเพื่อการเปลี่ยนแปลงตนเองและโลกได้อย่างไร
ย.ยืนหยัด : ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ อย่าลืมยืนหยัดการมองโลกด้วยจิตใจที่ดีอยู่เสมอๆ เพราะการมองโลกในแง่ดีนั้นจะทำให้มีกำลังใจในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้น รวมถึงในยามที่มีปัญหาอุปสรรคเข้ามาคุณก็จะมองในมุมที่เป็นสัจธรรมได้ด้วยเช่นกัน
ย.แยกแยะ : รู้จักแยะแยะปัญหาแต่ละเรื่องออกจากกัน ไม่นำปัญหาภายนอกมาใส่อารมณ์กับคนในบ้าน การคิดก่อนพูดจะช่วยให้ความยุ่งยากต่างๆ กลายเป็นเรื่องเล็กและสามารถแก้ไขได้ในที่สุด
หลังจากที่ผู้ปกครองรู้จักเคล็ดลับการเติมเต็มความรักให้ครอบครัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาของเคล็ดลับสิ่งที่ไม่ควรทำ กับ “8 นิสัยที่พ่อแม่ควรเลิกเสียที” จากหนังสือ ‘ปรับเปลี่ยน 8 นิสัยที่พ่อแม่ควรเลิกซะที’ นิตยสาร SOOK ฉบับที่ 14 ที่บอกไว้ว่า
ไม่มีเวลา : เด็กๆ โดยเฉพาะ วัย 6 ขวบปีแรก ควรมีพ่อแม่คอยสอนทักษะพื้นฐานชีวิตที่สำคัญให้กับเขา
ขี้หงุดหงิด : ควรแยกแยะเรื่องงานและครอบครัวออกจากกัน อย่าให้คนในบ้านมาคอยรับอารมณ์ที่เกิดจากนอกบ้านตลอดเวลา
ตามใจเกินเหตุ : การรักลูกแบบผิดๆ ชนิดที่ตามใจทุกอย่างอาจทำให้ติดเป็นนิสัยของตัวเด็กและกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่แก้ได้ยากในอนาคต
ติดสมาร์ทโฟน : พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดี และหากิจกรรมต่างๆ มาช่วยกระชับสัมพันธ์ในครอบครัว เช่น การเล่านิทาน การปลูกต้นไม้ การพาไปสวนสัตว์ เป็นต้น
จู้จี้ขี้บ่น : ไม่มีใครชอบโดนบ่นตลอดเวลา ดังนั้นพ่อแม่หรือผู้ปกครองควรพูดตรงๆ กับลูกว่าอยากให้ปรับปรุงตัวหรือเลิกพฤติกรรมแบบไหน เพื่อที่คุณจะได้บ่นพวกเขาน้อยลงนั่นเอง
เจ้าบงการ : หยุดบังคับ กำหนดทุกอย่างให้ลูก และเปลี่ยนจากการเลือกให้เขาเป็นการช่วยแนะนำแทน
นอกจากนี้ พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร (หมอโอ๋) จาก เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน ได้แนะนำเทคนิคการเลี้ยงลูกแบบไม่ต่อต้านคำสั่งของผู้ปกครองไว้ในกิจกรรม Workshop สื่อสารยังไงให้ได้ใจลูก ฐาน : พูดอย่างไร…ให้ลูกฟัง เอาไว้ดังนี้
ต่อติดก่อนตักเตือน เช่น ถ้าลูกกำลังเล่นของเล่นอยู่ ให้ถามว่ากำลังเล่นอะไร แล้วค่อยชวนเลิกเล่น เด็กจะรับฟังมากกว่าสั่งไปเลย
บอกความอยาก แทนห้าม อย่า ไม่ เช่น แม่อยากให้หนูลงมากระโดดข้างล่าง หรือแทนที่จะบอกว่าอย่าวิ่ง ให้เปลี่ยนเป็นเดินช้าๆ สิลูก
หมั่นตั้งคำถาม เช่น ให้ถามว่ากลับบ้านวันนี้ต้องทำอะไรบ้างนะ? แทนการสั่งว่ากลับบ้านต้องทำสิ่งนั้นสิ่งนี้
สั้นๆ เข้าไว้ อย่าบ่นยืดเยื้อ ยืดยาว เช่น อยากสั่งให้ลูกถอดรองเท้า ก็พูดแค่ว่า ‘รองเท้าลูก’ แค่นี้ก็เพียงพอ
บอกล่วงหน้า เช่น อีก 5 นาที เราต้องเลิกเล่นแล้วนะลูก เด็กๆ จะได้เตรียมตัว ไม่โวยวาย
ให้ทางเลือก เพราะลูกจะรู้สึกมีอำนาจตัดสินใจ เช่น จะเล่นต่ออีก 1 หรือ 2 นาทีดีคะ?
พูดให้คิด ให้เด็กๆ ได้คิดวิเคราะห์ถึงผลที่ตามมา จากการกระทำของตนเอง เช่น ถ้าเราไม่กินผัก จะเป็นไงนะลูก? ท้องผูกใช่ไหม?
สั่งเป็นเพลง ทำให้คำสั่งดูเป็นความรื่นเริง ลื่นหู
ใช้ท่าทาง เช่น แทนที่สั่งลูกให้หยุดเล่น ipad ให้เดินไปหา ยิ้ม มองไปที่ไอแพด แทนการสั่งเสียงแข็งๆ
เขียนโน๊ตดีกว่า เขียนให้น่ารักๆ เข้าไว้ เด็กๆ จะชอบมากกว่า การสั่งด้วยคำพูดโดยตรง
นับ 1 ถึง 10 แทนที่จะสั่งให้ลูกหยุดทำนู่นทำนี่ทันที ควรให้เวลาลูก โดยการนับ 1 – 10 ถ้าลูกทำตามโดยที่นับไม่ถึงให้ชมลูกด้วยนะคะ
กระซิบสื่อรัก แทนที่จะใช้น้ำเสียงแข็งๆ สั่งลูก ให้กระซิบเบาๆ ใกล้ๆ แทน วิธีนี้จะไม่กระตุ้นสมองด้านอารมณ์ และเด็กๆ จะชอบมาก

9 งานอดิเรก ยิ่งทำ…ยิ่งฉลาด

1.เล่นดนตรีแบบศิลปิน
เมื่อนานมาแล้วขงจื๊อกล่าวไว้ว่า ‘ดนตรีมอบความพึงพอใจที่ธรรมชาติของมนุษย์ไม่สามารถทำได้ ‘ และจากผลการวิจัยก็ระบุว่าดนตรีหรือเสียงเพลงสามารถกระตุ้นสมองของมนุษย์ได้ดี และนักวิจัยหลายคนก็ได้แสดงผลงานวิจัยที่บ่งบอกว่า ผู้ที่ทั้งฟังดนตรีและเป็นผู้เล่นเองมีพื้นที่หน่วยความจำที่มากขึ้น
นอกจากนี้การเล่นเครื่องดนตรียังเป็นการฝึกความอดทนและความพยายาม เพราะการที่จะเล่นดนตรีให้เชี่ยวชาญได้นั้น จำเป็นจะต้องทุ่มเทเวลาให้มันอย่างเต็มที่ ผลพลอยได้คือการมีสมาธิที่ดีขึ้น
2.อ่านหนังสือให้เหมือนเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้แตะมัน
เป็นความเชื่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไรว่าการอ่านหนังสือจะช่วยเพิ่มระดับความฉลาดได้ แต่หมายถึงว่าต้องอ่านแบบไม่ลืมหูลืมตาและอ่านหลากหลายแนวตั้งแต่ นวนิยาย ชีวประวัติ ไปจนถึงบทประพันธ์ต่าง ๆการอ่านหนังสือช่วยลดความเครียด ช่วยให้คุณเผชิญหน้ากับอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลายและทำให้มีความรู้ในเรื่องต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือในสถานการณ์หลากหลาย และเข้าใกล้กับเป้าหมายชีวิตในอนาคตมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกดีกับตัวเอง ไม่เพียงเท่านั้นการนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกสงบเป็นหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่แข็งแรง
3.ฝึกสมาธิเป็นกิจวัตร
ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการฝึกสมาธิ คือ การช่วยให้มีโฟกัสและรู้จักเนื้อแท้ของตัวเอง ช่วยลดระดับความเครียดและขจัดความกังวลทั้งหลาย การฝึกสมาธิเป็นประจำทุกวัน ผู้ฝึกจะมีจิตใจที่สงบ รู้จักควบคุมตัวเอง มีความหยั่งรู้ ทำให้สามารถเรียนรู้ คิด และวางแผนสิ่งต่าง ๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากสามารถตัดสิ่งที่มารบกวนจิตใจได้
4.ออกกำลังสมอง
ร่างกายต้องการการออกกำลังกายเพื่อให้ฟิตแอนด์เฟิร์ม สมองก็เช่นเดียวกัน การท้าทายสมองให้ทำสิ่งใหม่ ๆ ทุกวันจะช่วยเพิ่มความสามารถและทำให้ฉลาดขึ้น น้อง ๆ สามารถฝึกสมองได้ด้วยหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การเล่นโซโดกุ ปริศนาตามหน้าหนังสือพิมพ์ เกมกระดาน และปริศนาคำทาย
กิจกรรมดังกล่าวจะช่วยสร้างความเชื่อมโยงของสมอง ผู้เล่นจะได้เรียนรู้การตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ในลักษณะที่มีความสร้างสรรค์ พัฒนาความสามารถในการมองเห็นให้มองได้หลายมุมมอง และมีสมองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
5.ออกกำลังกายก็เป็นเรื่องสำคัญ
สมองก็คือกล้ามเนื้อในร่างกายเช่นเดียวกับส่วนอื่น ดังนั้นการมีร่างกายที่แข็งแรงก็เป็นเครื่องการันตีว่าสุขภาพสมองดี การออกกำลังอย่างเป็นประจำนอกจากจะช่วยให้สุขภาพดีแล้วยังช่วยลดความตึงเครียดและทำให้นอนหลับง่าย
ทางการแพทย์เชื่อว่า การไหลเวียนของโลหิตที่ดีไปยังสมอง หมายถึง สมองมีการทำงานที่เพิ่มขึ้น จากการศึกษาในหนูและมนุษย์ ได้แสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายสามารถสร้างเซลล์สมองใหม่ และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของสมองดีขึ้น
6.เรียนรู้ภาษาที่สาม
การเรียนรู้ภาษาใหม่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าทำได้น้อง ๆ จะได้รับประโยชน์มหาศาล หนึ่งในนั้นก็คือ ทำให้ดูฉลาดขึ้น กระบวนการของการเรียนรู้ดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์โครงสร้างไวยากรณ์และการทำความรู้จักคำศัพท์ใหม่ ๆ ซึ่งจะเป็นการท้าทายสมอง และนอกจากนี้จากผลการวิจัยพบว่า คนที่มีทักษะทางภาษาระดับสูงจะสามารถวางแผน ตัดสินใจและแก้ไขปัญหาได้ดี
7.ระบายความรู้สึกผ่านตัวหนังสือ
นอกจากการเขียนบ่อย ๆ จะเป็นการเพิ่มทักษะทางภาษาแล้ว ยังช่วยพัฒนาความสามารถในเรื่องของการโฟกัส ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ และความเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเขียนลงในกระดาษเท่านั้น สามารถเขียนที่ไหนก็ได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเขียนลงบนมือ หรือแม้แต่สร้างบล็อกของตัวเองขึ้นมา
8.ท่องเที่ยวในที่ใหม่ ๆ
การท่องเที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การลดความเบื่อหน่ายเท่านั้น แต่มันสามารถขจัดความเครียดที่สั่งสมได้ด้วย เชื่อกันว่าหลังจากที่กลับจากทริปจะโฟกัสกับสิ่งที่ทำมากขึ้น ช่างสังเกต และมีความเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องที่สนใจ นอกจากนี้ทุกสถานที่ที่ได้ไปยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้ตัวเอง ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ทั้งผู้คน อาหาร วัฒนธรรม และสังคม คุณจะได้ไอเดียที่ไม่มีทางได้จากห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ
9.ลองทำเมนูอาหารหลากหลาย
คนที่ลองทำอาหารเมนูแปลกไปจากปกติ มักเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่กลัวที่จะ ลองสิ่งใหม่ ๆ และเป็นคนที่มีความใส่ใจในเรื่องของรายละเอียด สิ่งที่คุณจะได้จากการทำอาหาร คือ สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้หลากหลาย มีความแม่นยำ และตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว

วิธีง่ายๆ เปลี่ยนปัญหาสายตาแย่ให้กลับมาดี

เชื่อว่าน้องๆ หลายคนมีปัญหาเรื่องสายตา ไม่ว่าจะเพราะจากการอ่านหนังสือหรือเล่นเกมบนหน้าจอคอมหรือสมาร์ทโฟนบ่อยๆ ก็ตาม แต่ถ้าเลือกได้ทุกคนก็ต้องอยากกู้วิกฤตสายตาแย่ๆ ให้กลับมาดีถูกต้องไหมคะ งั้นเรามาติดตามบทความนี้กัน

วิธีง่ายๆ เปลี่ยนปัญหาสายตาแย่ให้กลับมาดี

บทความนี้เป็นของคุณพิชชารัศมิ์ (marumura) โดยเธอได้พูดถึงเนื้อหาในหนังสือ ชื่อว่า  “แค่วันละ 1 นาที เปลี่ยนสายตาแย่ให้กลับเป็นเยี่ยม” ของผู้แต่ง “คนโนะ เซชิ” ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสายตาของญี่ปุ่นเล่าว่ามีประสบการณ์ที่ทำให้คนสายตาสั้น 600 เหลือแค่ 175 และยังช่วยบำบัดปัญหาสายตาแบบอื่น เช่น ตาแห้ง วุ้นตาเสื่อม ตาพร่า ฯลฯ คุณคนโนะบอกว่าปัจจุบันมีคนที่มีปัญหาสายตาเพิ่มมากขึ้น และอายุเฉลี่ยของคนสายตาสั้นก็น้อยลงเรื่อยๆ นอกจากนี้คนส่วนใหญ่ที่มีปัญหาสายตามักจะมีปัญหาอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ ปวดไหล่ ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ผิวแห้ง ซึมเศร้า ปวดเอว ฯลฯ
โดยคุณคนโนะเชื่อว่าร่างกายเรามีสามารถรักษาและฟื้นฟูตัวเองได้ จึงแนะนำวิธีที่ทำให้ดวงตา และโรคออฟฟิศซินโดรมดีขึ้นซึ่งได้มีการพิสูจน์มาแล้วว่าทำได้จริงได้แก่
• การหายใจอย่างถูกวิธี เนื่องจากส่วนใหญ่ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอก็เพราะหายใจไม่ลึก วิธีหายใจที่ถูกต้องคือการหายใจเข้าลึกๆ ทางจมูกและหายใจออกทางปากให้ยาวอย่างน้อย 6 วินาทีให้ได้ประมาณ 50 ครั้งต่อวัน
• การนวด การลูบ เคาะ และกดจุดรอบดวงตา บริเวณรอบๆ ดวงตา เหนือคิ้ว คิ้ว เบ้าตา ใต้ดวงตาและขมับจะทำให้เส้นประสาทและสมองตื่นตัวและทำงานได้ดีขึ้น ไม่เชื่อลองเอาปลายนิ้วเคาะจากหัวคิ้วไปหางคิ้ว จากใต้หัวตาไปหางตาจะรู้สึกดีขึ้น
• การกระโดดพร้อมหายใจยาวๆ คุณคนโนะบอกว่าการเดินออกกำลังกายหรือวิ่งไม่ทำให้อวัยวะภายในหลั่งเหงื่อมากพอ การกระโดดขึ้นเบาๆ วันละ 500 ครั้งทำให้อวัยวะภายในหลั่งเหงื่อ ซึ่งจะมีผลทำให้ระบบไหลเวียนต่างๆ ดีขึ้น
• การบริหารกล้ามเนื้อดวงตา มีอีกวิธีที่จะทำให้ดวงตาผ่อนคลายสบายขึ้นก็คือ การเอาผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นโปะที่ดวงตาโดยที่หลับตาไว้ และให้กลอกตาขึ้น กลอกตาไปทางขวา ล่าง และซ้ายรอบละ 6 วินาที
• การหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดวงตามีกำลังและได้รับออกซิเจนเพียงพอ
• ใส่คอนแทคเลนส์เท่าที่จำเป็น การใส่คอนแทคเลนส์เป็นระยะเวลานานทำให้ดวงตาขาดออกซิเจน พอขากออกซิเจนนานๆ ดวงตาก็เสื่อมสภาพ เราจึงควรใส่คอนแทคเลนส์เท่าที่จำเป็น

เทคนิค ปรับปรุงตัวเอง ง่ายๆ ที่สามารถทำให้ชีวิตเปลี่ยนได้

เรื่องง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้แรงลงมือทำมาก แต่กลับมอบผลลัพธ์ที่ดีให้ชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแค่รู้จัก มองตัวเอง และ ปรับปรุงตัวเอง ให้ดำเนินไปในทิศทางที่เหมาะสม
  1. หัดเป็นคนวางแผนก่อนลงมือ

    การใช้ชีวิตให้ดำเนินอยู่ในรูปแบบของคนที่มีการวางแผนอยู่เสมอ จะเป็นวิธีที่สามารถช่วยเสริมสร้างความรอบครอบ และช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในขณะที่กำลังลงมือทำสิ่งต่างๆ ได้
    โดยเฉพาะ การลงมือทำงานใหญ่ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายจากความผิดพลาดได้อย่างมหาศาล ดังนั้น การวางแผนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยง และทำให้ภาพลักษณ์ของตัวคุณเองดูน่าเชื่อถือจากสายตาของบุคคลภายนอก
    1. อย่าทำอะไรตามใจตัวเองเกินไป

    การทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทาง ในการช่วยเพิ่มความสุขและความสบายใจให้เกิดขึ้นได้ แต่การสร้างความสุขที่ดี จำเป็นจะต้องไม่ทำให้คนรอบข้างหรือผู้อื่นเดือดร้อน
    และไม่ควรทำอะไร ที่เรียกได้ว่าตามใจตัวเองมากจน “เกินขอบเขตุ” ที่เหมาะสมไป มิเช่นนั้น อาจกลายเป็นว่า คุณคือ คนที่กำลังมีความสุข แต่ดันยืนอยู่บน ‘ความทุกข์ของคนอื่น’
    1. หยุดเป็นคนที่คิดแล้วทำเลย

    ในบางครั้ง ก่อนที่จะลงมือทำอะไรบางอย่าง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้สมเหตุสมผล และไตร่ตรองให้ดีถึงผลลัพธ์ของการกระทำ
    หากมัวแต่คิดอะไรได้ แล้วลงมือทำเลยทันที ไม่ได้ผ่านกระบวนความคิดที่รอบครอบก่อน อาจทำให้ผลลัพธ์ที่คาดหวังไว้ว่าดี ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองก็เป็นไปได้
    1. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ชีวิตแย่ลง

    คนเราทุกคนต่างก็ย่อมรู้ดีกันอยู่แล้วว่า สิ่งไหนบ้างที่สามารถเรียกได้ว่าดี หรือ สิ่งไหนบ้างที่หากหลีกเลี่ยงได้ ก็สมควรที่จะหลีกเลี่ยง
    เพราะฉะนั้น ลองลด ละ เลิก พฤติกรรมที่บั่นทอนชีวิต ให้มีแต่แย่ลงดูบ้าง แล้วคุณอาจได้พบกับอะไรดีๆ ที่กำลังรออยู่ จนทำให้รู้สึกว่า ไม่น่าเสียเวลาไปกับสิ่งเหล่านั้นตั้งแต่แรกเลย
    1. ลองหันไปสนใจสิ่งที่เคยมองข้าม

    คนเรามักชอบไปแสวงหาความสุข หรือเรื่องราวต่างๆ จากสิ่งใหญ่ๆ โดยหลงลืม และมักมองข้ามเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวไป
    ซึ่งหารู้ไม่ว่า การได้รับความสุขที่แท้จริง อาจมีจุดเริ่มต้นมาจาก การมองเห็นในสิ่งเล็กๆ ที่ไม่เคยถูกให้ความสำคัญ แต่วันนี้กลับสามารถมอบพลังที่ยิ่งใหญ่คืนมาได้
    1. มองหาสิ่งใหม่ๆ ให้มากกว่าจมอยู่กับอะไรเดิมๆ

    บางคนอาจกำลังคิดว่า สิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้ เรียกได้ว่าดีและพอใจแล้ว จึงทำให้หยุดที่จะแสวงหา หรือนำตัวเองให้ออกไปค้นพบกับสิ่งใหม่ๆ
    จนอาจหลงลืมไปว่า โลกใบเดิมใบนี้ ยังไม่เคยหยุดหมุน และสิ่งต่างๆ รอบตัวก็ยังไม่หยุดที่จะพัฒนา ดังนั้น ชีวิตคนเราก็คงไม่สามารถที่จะหยุดการรับรู้อะไรใหม่ๆ ไว้ได้เช่นกัน
    1. ควบคุมตัวเองให้ได้

    สิ่งที่ยากกว่าการควบคุมตัวเองให้ได้ ก็คงจะเป็น “การควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตัวมนุษย์ทั้งหลายที่เต็มไปด้วยโทสะ ซึ่งยากที่จะระงับ และไม่รู้สึกไม่รู้สาอะไร
    แต่ถ้าหากลองปรับตัวเอง ให้กลายเป็นคนที่สามารถควบคุมอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ อาจทำให้เข้าใจว่า อารมณ์ก็เป็นแค่เพียงความรู้สึก ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ที่เมื่อเวลาผ่านไป ก็พัดพาอารมณ์ให้จางหายลงไปตาม
    1. อย่าพูดทุกอย่างที่กำลังรู้สึก

    แม้ว่าภายในใจ จะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่มากมายจนไม่สามารถเก็บงำเอาไว้ได้ แต่ในบางครั้ง และบางสถานการณ์ ก็คงไม่ใช่เวลาอันเหมาะสม ที่จะพูดทุกอย่างออกไปได้ การ ‘เงียบ’ บ้าง จึงอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดทุกคำพูดที่อยากจะพูดออกไป
    1. รู้จักผูกมิตรกับคนรอบข้าง

    การที่คนเราจะมีคอนเนคชั่นที่ดีได้ อย่างแรกอาจต้องเริ่มต้นมาจาก การลองเข้าหาผู้อื่นก่อน โดยเฉพาะในการทำงานที่ต้องอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก ที่จำเป็นจะต้องใช้การสื่อสารและการสร้างความสัมพันธ์อันดี

GPS คืออะไร ย่อมาจากอะไร มีกี่ประเภท ประโยชน์ของ GPS

การเดินทางไปในสถานที่หนึ่งในสมัยก่อน เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะอุปกรณ์เดียวที่สามารถนำทางเราไปยังสถานที่ที่เราไม่เคยไปเลยก็คือแผนที่ ซึ่งการดูแผนที่ และเข็มทิศก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะอ่านทำความเข้าใจ แต่ในวันนี้เทคโนโลยีในการนำทาง ได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนในปัจจุบันเรามีระบบนำทางที่ทันสมัย ซึ่งเรารู้จักเทคโนโลยีในชื่อ GPS (Global Positioning System)
————– advertisements ————–
GPS คืออะไร
GPS (Global Positioning System) คือ ระบบระบุตำแหน่งบนพื้นโลก ซึ่งทำงานร่วมกับดาวเทียมบอกตำแหน่งทั้งหมด 24 ดวง ดาวเทียมGPS เป็นดาวเทียมที่มีวงโคจรระดับกลาง (Medium Earth Orbit) ที่ระดับความสูงประมาณ 20,200 กิโลเมตร จากพื้นผิวโลก โดยที่แนวคิดในการพัฒนาระบบGPS เริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1957 เมื่อนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา แล้วในปี ค.ศ. 1960 ก็เริ่มทดสอบใช้งานกันจริง ๆในกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา แต่สาเหตุที่ทำให้เรามี GPS ใช้กันอย่างแพร่หลายจนถึงทุกวันนี้เกิดจากเหตุการณ์ในปี ค.ศ. 1983 ที่เครื่องบินโคเรียนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 007 ของเกาหลีใต้ บินพลัดหลงเข้าไปในน่านฟ้าของสหภาพโซเวียต และถูกยิงตก ผู้โดยสาร 269 คนเสียชีวิตทั้งหมด ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนได้ประกาศว่า เมื่อพัฒนาระบบจีพีเอสแล้วเสร็จ จะอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปใช้งานได้ ทำให้ GPS ได้ถูกพัฒนาในเชิงพาณิชย์นอกจากที่จะใช้ในการทหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
gps
รูปแบบการทำงานของระบบ GPS
ซึ่งระบบ GPS จะทำงานควบคู่กับดาวเทียม GPS เพื่อระบุตำแหน่งบนพื้นผิวโลก โดยตัวเครื่องรับสัญญาณ GPS จะต้องประมวลผลความแตกต่างของเวลาในการรับสัญญาณเทียบกับเวลาจริง โดยสามารถที่จะระบุตำแหน่งบนผิวโลกได้อย่างชัดเจน
GPS มีกี่ประเภท อะไรบ้าง
– GPS ที่เราใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันจะมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ GPS Navigator (อุปกรณ์และระบบนำทาง) และ GPS Tracking System (อุปกรณ์และระบบติดตามรถ ยาพาหะนะหรือสัตว์เลี้ยง)
– GPS Navigator (อุปกรณ์และระบบนำทาง) เป็น GPS ที่เราใช้งานในรถยนต์ทั่วไปที่บอกแผนที่การเดินทางด้วยการป้อนข้อมูลของเป้าหมายลงไปเครื่องนำทาง GPS
– GPS Tracking System (อุปกรณ์และระบบติดตามรถ ยาพาหะนะหรือสัตว์เลี้ยง) ซึ่งเป็น GPS ที่สามารถติดตามการเดินทาง และบอกพิกัดและตำแหน่งของ เครื่อง GPS ได้ด้วย โดยเราสามารถแบ่งเป็นออกได้อีก 2 แบบด้วยกันคือ อุปกรณ์ติดตามรถแบบ Offline สามารถตรวจสอบประวัติการเดินทางได้ แต่ไม่สามารถตรวจสอบตำแหน่งที่อยู่ของเครื่อง GPS ได้ และแบบที่สองอุปกรณ์ติดตามรถแบบกึ่ง Offline ซึ่งจะทำงานร่วมกับมือถือเราสามารถที่จะดูประวัติการเดินทางพร้อมทั้งตำแหน่งปัจจุบันของอุปกรณ์ GPS นั้นๆได้อีกด้วย
gps
เครื่องรับสัญญาณ GPS แบบติดตั้งในรถยนต์
ประโยชน์ของ GPS
ประโยชน์ของ GPS นั้นมีมากมาย แต่ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือการประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เราสามารถวางแผนการเดินทางหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ไม่สะดวก คำนวณค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย
ในด้านธุรกิจขนส่ง ระบบนำทาง GPS สามารถทำให้ผู้ประกอบการตรวจสอบการเดินทางของรถขนส่งสินค้าได้อย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดปัญหาขึ้น
โดยส่วนมากแล้วเทคโนโลยี GPS เป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่ในโทรศัพท์มือถือแล้ว ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบนำทาง GPS ได้ง่ายมากขึ้น แต่การนำไปใช้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของซอฟแวร์และระบบ GPS ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้นๆด้วยว่าจะมีประสิทธิภาพมากน้อยขนาดไหน

เคล็ดลับ `สร้างสุขครอบครัวไทย`

ความรักความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นสิ่งละเอียดอ่อนที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะหากคนในครอบครัวมีความสัมพันธ์กันมากพอ ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่จะจับมื...